Sunday, August 7, 2011

Day 2 - Script Writing

การเขียนบทวีดิทัศน์
(Script Writing)

โดย อัจฉริยะ จารุพันธ์

Film & Video Production, Columbia College Chicago

กว่าจะเป็นบทโทรทัศน์ เราเริ่มต้นกันอย่างไร

กว่าจะเป็นบทโทรทัศน์ นักเขียนบทมือใหม่หลายคนเริ่มต้นด้วยความยากลำบากและทุกข์ทรมานกว่าจะเริ่มเขียนประโยคแรกได้สำเร็จ หลายคนบอกว่าการเขียนบทต้องใช้พลังและแรงบันดาลใจสูงมาก หากไม่มีแล้วเขาจะเขียนอะไรไม่ได้เลย ขณะที่บางคนมีพล็อตเรื่องอยู่เต็มหัวไปหมดแต่ก็ไม่สามารถเขียนบทได้สำเร็จสักเรื่องหนึ่ง แล้วอะไรคือสูตรลับในการเขียนบท และเราจะเริ่มเขียนบทกันได้อย่างไร

เสียงลึกลับที่ดังก้องอยู่ภายใน

ในหนังสือ The Screen-writer Workbook (Dell Publishing, 1984), Syd Field เขียนเล่าไว้ว่า นักเขียนบทมืออาชีพส่วนใหญ่จะได้ยินเสียงลึกลับดังก้องอยู่ภายในใจบอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น แต่การเขียนบทที่แท้จริงไม่ใช่การนั่งรอเสียงลึกลับข้ามเดือนข้ามปี หากเป็นศิลปะที่ต้องการการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญ

ศิลปะการเล่าเรื่อง [i]

ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์ ล้วนแล้วแต่มีรากฐานแบบเดียวกัน นั่นคือ การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของมนุษย์หรือสัตว์ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด ณ สถานที่ใดที่หนึ่งเสมอ ฉะนั้น องค์ประกอบที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ตัวละคร สถานที่ และเวลา

สิ่งที่สำคัญในการเขียนบทก็คือ การเริ่มค้นหาวัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจให้ได้ ว่าเราอยากจะพูด จะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับอะไร ตัวเราเองมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างไร ซึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนบทที่เราสามารถนำมาใช้ได้ก็คือ ตัวละคร แนวความคิด และเหตุการณ์ และควรจะมองหาวัตถุดิบในการสร้างเรื่องให้แคบอยู่ในสิ่งที่เรารู้สึก รู้จริง

เมื่อเราได้เรื่องที่จะเขียนแล้วเราก็ต้องนำเรื่องราวที่ได้มาเขียนเป็นพล็อต (Plot) ว่าใคร ทำอะไร กับใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร เพราะอะไร และได้ผลลัพธ์อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อมูล หรือวัตถุดิบที่เรามีอยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนว่ามีแนวคิดมุมมองต่อชีวิตคนอย่างไร


และเมื่อเราได้เรื่อง ได้โครงเรื่องมาเรียบร้อยแล้ว เราก็นำมาเป็นรายละเอียดของฉาก ว่ามีกี่ฉากในแต่ละฉากมีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่นมีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ไปเรื่อย ๆ จนจบเรื่อง ซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนการเขียนบทไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมาย เพราะมีการกำหนดเป็นแบบแผนไว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยาก มาก ๆ ก็คือกระบวนการคิด ว่าคิดอย่างไรให้ลึกซึ้ง คิดอย่างไรให้สมเหตุสมผล ซึ่งวิธีคิดเหล่านี้ไม่มีใครสอนกันได้ทุกคน ต้องค้นหาวิธีลองผิดลองถูก จนกระทั่ง ค้นพบวิธีคิดของตัวเอง

องค์ประกอบของบท

บทโทรทัศน์หรือบทภาพยนตร์ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ ภาพและเสียง ดังนั้นการเขียนบทคือการบรรยายภาพและเสียงซึ่งต่างจากการเขียนบทความหรือการเขียนนิยายทั่วไป โดยมีภาพที่ต้องบรรยาย เช่น

1. ฉาก

2. สถานที่

3. พิธีกร

4. นักแสดง

5. เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย

6. อุปกรณ์ประกอบฉาก

7. ข้อความ

8. ภาพกราฟฟิก (Graphic)

และ ตัวอย่างของการบรรยายเสียง เช่น

  1. เสียงพากษ์ หรือ เสียงผู้บรรยาย
  2. บทสนทนา
  3. เสียงซาวด์เอ๊ฟเฟ็ค (SFX)
  4. ดนตรีประกอบ
  5. เสียงบรรยากาศ (Background)

รูปแบบของรายการโทรทัศน์

สำนักนายกรัฐมนตรีกำหนดระเบียบว่าด้วยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ แบ่งประเภทของรายการโทรทัศน์ออกเป็นดังนี้

1. รายการประเภทข่าว

2. รายการประเภทความรู้

3. รายการประเภทบันเทิง

4. รายการประเภทโฆษณาการบริการธุรกิจ

ซึ่งเป็นการแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการผลิตรายการนั้นๆ นั่นก็คือ

เพื่อเสนอข่าวสาร

เพื่อถ่ายทอดความรู้

เพื่อเสนอความบันเทิง

เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์

รูปแบบของบทโทรทัศน์

การเขียนบทโทรทัศน์สามารถเขียนได้ 2 รูปแบบ คือ

1. รูปแบบบทภาพยนตร์ (Classic Screenplay Format)

2. รูปแบบบทโทรทัศน์ (TV Script Format)

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเด็นเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ เช่น หากต้องการเสนอรายการในรูปแบบละครอาจต้องเขียนในรูปแบบบทภาพยนตร์จะทำให้การเล่าเรื่องมีความชัดเจนมากกว่า


ตัวอย่างรูปแบบบทภาพยนตร์


ละครสารคดี

นี่หรือชีวิต”

FADE IN:

EXT. บ้านอาอั่วม่า มีนบุรี (2494)-บ่าย (ต่อเนื่อง)

ที่หน้าบ้าน “ก๋ง”หรือ “ตั้งจุ้ยเซ้ง” อาเตี่ยในวัยหนุ่มราว 28 ปี ยึดอาชีพพ่อค้าผ้าหาบเร่เดินแบกหาบตัวโหย่งเข้าบ้านมา โดยมี “อาม่า”และหมวย”ไซเง็ก” อายุ 9-10 ขวบนั่งมองตรงมาด้วยความประหลาดใจ

อาม่า

(แปลกใจ)

อ้าว ทำไมวันนี้ลื้อกลับแต่วันล่ะ


ตัวอย่างรูปแบบบทโทรทัศน์ (TV Script Format)

บทโทรทัศน์มักเขียนแบ่งหน้ากระดาษเป็น 2 ฝั่ง โดยเขียนเล่าบรรยายภาพไว้ด้านซ้าย และเขียนบรรยายเสียงไว้ด้านขวา ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ภาพ

เสียง

1

Fade In:

Title:

ภาพนักเรียนสานตะกร้า ปลูกผัก ทำอาหารขาย

Super:

ตะกร้าพารวย ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

เพลง”รายได้เสริม” เพลงประจำโครงงาน แต่งโดยพระอาจารย์ ดำรงค์ เตชะปัญโญ เนื้อหาเกี่ยวกับตะกร้าพารวย

2

ภาพเด็กนักเรียน ช่วยกันจัดเรียงตะกร้า บนพื้นดินเสื่อมข้างโรงเรียน

จากนั้นใช้เทคนิคการตัดต่อ เห็นพืชผักเจริญเติบโตงอกงามอย่างรวดเร็ว

บรรยาย – โรงเรียนบ้านหนองขนาก ต.จอมบึง อ.จองบึง จ.ราชบุรี และบริเวณใกล้เคียง มีพื้นที่เป็นดินทราย และเป็นดินดานเสื่อมคุณภาพ ปลูกผักไม่ค่อยเจริญงอกงาม แต่ด้วยความพยายามของคณะครูและนักเรียนนำโดย คุณครู สมหวังและคุณครูดาวเรือง สุขพ่วง ครูที่ปรึกษาโครงอาชีพ ระดับประถมศึกษา พบว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการปลูกผักในภาชนะแทนการปลูกบนดินตามปกติ

3

ภาพสัมภาษณ์ อ.สมหวัง และ อ.ดาวเรือง

Super:

.สมหวัง สุขพ่วง

ครูที่ปรึกษาโครงงานอาชีพ

โรงเรียนบ้านหนองขนาก จ.ราชบุรี

(.สมหวัง เล่าถึงที่มาของการปลูกผักในตะกร้าสาน พร้อมทั้งอธิบายถึงสาเหตุที่ไม่เลือกปลูกผักในกระถางทั่วไป)


โครงสร้างของรายการ

ก่อนจะเริ่มลงมือเขียนบท เราต้องสรุปโครงสร้างของรายการเสียก่อน ด้วยการแบ่งรายการออกเป็นช่วงๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของรายการทั้งหมดเสียก่อน

โครงสร้างรายการแบบง่ายๆ อาจแบ่งเป็นช่วงดังนี้

1. ไตเติ้ล

2. เปิดรายการ

3. เนื้อรายการ

4. บทสรุป ปิดรายการ

5. เครดิตท้าย

จากนั้นจึงกำหนดความยาวของแต่ละช่วงว่าจะใช้เวลาดำเนินเรื่องนานเท่าไหร่ เช่น รายการความยาว 60 นาที อาจให้เวลา ช่วงไตเติ้ลและเปิดประเด็นนำเข้ารายการ 10 นาที เนื้อรายการ 40 นาที และสรุปปิดท้ายรายการ 10 นาที

การแบ่งรายการออกเป็นส่วนๆนี้เป็นการสร้างกรอบเวลาช่วยควบคุมการเขียนบทไม่ให้ยืดเยื้อหรือใช้เวลาดำเนินเรื่องบางเรื่องนานเกินไป


ขั้นตอนการเขียนบท

กระบวนการเขียนบทมีขั้นตอน ดังนี้

1. หาข้อมูล (Research)

2. กำหนดเรื่อง (Subject)

3. สรุปประเด็นเนื้อหา (Concept)

4. วางโครงเรื่อง (Treatment/ Outline)

5. คิดเป็นภาพ (Visualization)

6. เขียนบทร่าง (1st Draft)

7. แก้ไข ปรับแต่ง


การหาข้อมูล (The Research)

แหล่งข้อมูลไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในรูปแบบเอกสาร ภาพถ่าย เท่านั้น การหาข้อมูลจากบุคคลเป็นการสืบค้นข้อมูลที่ใช้มากที่สุดในการผลิตรายการโทรทัศน์เพราะหมายถึงแหล่งข้อมูลที่มีทั้งภาพและเสียงในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญคือยิ่งหาข้อมูลได้มากก็ยิ่งทำให้เราเข้าใจประเด็นเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอมากยิ่งขึ้น

ประเด็นเนื้อหาที่การนำเสนอ (The Concept)

คอนเซ็ปท์ หรือ ประเด็นเนื้อหา คือ ใจความสำคัญที่เราต้องการบอกผู้ชม ซึ่งอาจมีเนื้อหาได้มากมายหลายเรื่อง แต่หากเรามีเวลาสั้นๆการเน้นประเด็นหลักประเด็นเดียวจะทำให้ผู้ชมเข้าใจได้ง่ายกว่า

Visualizing

เขียนบทต้อง ”คิดเป็นภาพ” เพราะบทหรือสคริปท์ เล่าเรื่องด้วย “ภาพและเสียง” เราเขียนบทเพื่อไปถ่ายภาพ ไม่ได้เขียนเพื่อทำเป็นหนังสือซึงใช้ศาสตร์ของการเล่าเรื่องที่แตกต่างกัน ขณะเขียนบทลองจินตนาการว่าคุณเห็นหรือได้ยินอะไรบ้างราวกับว่าคุณกำลังนั่งดูทีวีหรือดูภาพยนตร์ที่ฉายเรื่องราวที่เรากำลังเขียนอยู่ ดังนั้น ฝึกคิดเป็นภาพ และ ใช้ภาษาภาพสื่อสารกับผู้ชมแทนการประดิษฐ์ถ้อยคำมาเล่าเรื่อง

โครงร่างบท หรือ โครงเรื่อง (The Treatment/Outline)

ในการเขียนบทภาพยนตร์เราจะเรียก การทำโครงร่างบท ว่าการเขียน เอ๊าท์ไลน์ (Outline) หรือเรียกว่า ทรีทเม้นต์ (Treatment) เมื่อเขียนเป็นบทสารคดี

การเขียนโครงร่างบทเป็นขั้นตอนสำคัญในการเขียนบท แต่”โครงร่างบท” ยังไม่ใช่บท เป็นเพียงการร่างลำดับเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อแยกประเด็นเนื้อหาที่ต้องการเสนอเป็นช่วงๆ ทำให้เราเห็นภาพรวมของแต่ละช่วงแต่ละตอนชัดเจนขึ้น แล้วค่อยลงรายละเอียดในการเขียนบทจริงอีกที อย่างไรก็ตาม ในการผลิตสารคดีบางครั้ง โครงร่างบทจะถือว่าเป็นบทสำหรับถ่ายทำได้เลยเพราะไม่สามารถเขียนระบุภาพเหตุการณ์จริงได้


ตัวอย่างการเขียนโครงร่างบท

สารคดี “กว่าจะเป็นนายอำเภอ”

1. ไตเติ้ล

2. บรรยากาศทั่วไปของโรงเรียนนายอำเภอ

3. สัมภาษณ์ ผอ. โรงเรียนนายอำเภอ

4. กว่าจะเป็นนายอำเภอ

1. สัมภาษณ์ นร. (ปลัดอำเภอ)

2. ชีวิตในโรงเรียน

3. เรียนอะไรกัน ทำไมต้องเรียน

4. ทำไมต้องซ้อมวิ่ง เหมือนฝึกทหาร

5. สรุปปิดท้าย

6. เครดิตท้าย


ศัพท์เทคนิคพื้นฐานสำหรับการเขียนบท

การเขียนบทไม่จำเป็นต้องใช้ศัพท์เทคนิคด้านภาพเสมอไปเพราะเป็นหน้าที่ของผู้กำกับที่กำหนดการวางมุมกล้องขณะถ่ายทำ ซึ่งตัวอย่างศัพท์เทคนิคพื้นฐานสำหรับการถ่ายภาพ มีดังนี้

1. มุมกล้อง และ การเคลื่อนกล้อง

Pan แพน หมายถึง หันกล้องไปทาง ซ้าย หรือ ขวา

Tilt ทิ้ล หมายถึง ก้มหรือ เงยกล้องขึ้น-ลง

Zoom ซูม หมายถึง การดึงภาพเข้ามาใกล้ หรือ ห่างออกไป โดยตัวกล้องอยู่นิ่ง

Dolly ดอลลี่ หมายถึง การเคลื่อนกล้องบนรางเลื่อน เข้าหา หรือ ออกห่างจากวัตถุ

2. ขนาดภาพ

Long shot (LS) ลองช๊อท ภาพระยะไกล

Medium Shot (MS) ภาพระยะปานกลาง

Close Up (CU) ซียู ภาพระยะใกล้

Extreme Close Up (ECU) ภาพระยะใกล้มาก

Day 1 : Pre-Production

กระบวนการผลิตวีดีทัศน์ 3 ขั้นตอน
เขียนโดย อัจฉริยะ จารุพันธ์
Film & Video Production, Columbia College Chicago

การผลิตวีดีโอโปรดักชั่นไม่ว่าจะเป็นละครทีวี สารคดี หรือรายการทีวีอื่นๆ มีกระบวนผลิตที่เหมือนกันทั้งสิ้น โดยจะแบ่งการทำงานเป็น 3 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 ขั้นตอนการวางแผนและเตรียมงานผลิต (Pre-Production)
ช่วงที่ 2 ขั้นตอนถ่ายทำ (Production)
ช่วงที่ 3 ขั้นตอนการตัดต่อ มิกซ์เสียง (Post-Production)

การวางแผนและเตรียมงานผลิต (Pre-production)

ขั้นตอนเตรียมงานผลิตนี้ อาจจะเรียกทับศัพท์สั้นๆว่าขั้นตอน “พรีโพร” (Pre-Pro) ซึ่งก็มาจาก”พรี-โพรดั๊กชั่น” นั่นเอง ในขั้นตอนนี้จะเริ่มตั้งแต่เริ่มมีไอเดียหรือมีแนวคิดที่จะทำวีดีทัศน์เรื่องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จากนั้นก็พัฒนาต่อจนเป็นบทที่สมบูรณ์ในที่สุด แต่การทำงานในช่วงพรีโพรนั้น ไม่ได้มีแค่การเตรียมบทอย่างเดียวยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเตรียมให้พร้อมและต้องเตรียมงานและวางแผนอย่างละเอียดรัดกุมเพื่อให้การถ่ายทำราบรื่นที่สุด เช่น
• สรุปงบประมาณการผลิต (Budgeting)
• จัดหาจัดจ้างทีมงาน (Production Crew)
• จัดซื้อหรือเช่าอุปกรณ์ถ่ายทำ (Video Equipment)
• จัดเตรียมฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก (ถ้ามี)
• ติดต่อขออนุญาตใช้สถานที่ถ่ายทำ
• ติดต่อพิธีกร จองตัวผู้ให้สัมภาษณ์
• กำหนดคิวถ่ายทำ

ในหนังสือ Production Management for Film and Video (focal Press, 2002), Richard Gates ผู้เขียนแนะนำว่า “ขั้นตอนการเตรียมงานนี้จะใช้เวลาโดยประมาณ 2 เท่าของขั้นตอนการผลิต”

งบประมาณการผลิต (Budgeting)

การวางแผนงบประมาณการผลิตเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งและต้องใช้ประสบการณ์บวกความรอบคอบในการประเมินงานว่าควรจะใช้จ่ายเท่าไหร่เพื่อให้สามารถผลิตงานได้ราบรื่นและบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้

งบประมาณการผลิตวีดีทัศน์เรื่องหนึ่งอาจแตกต่างกันไปตามเนื้องานและวิธีการบริหารของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งตัวอย่างการคิดงบประมาณต่อไปนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับการวางแผนงบประมาณเท่านั้น โดยจะประกอบด้วยส่วนหลักๆดังนี้

1. ค่าบริหารงานผลิต และพัฒนาบท
2. ค่าผู้กำกับ ค่าโปรดิเซอร์
3. ค่าจ้างทีมงานกองถ่าย
4. ค่าจ้างนักแสดง
5. ค่าอุปกรณ์กล้องและทีมงาน
6. ค่าอุปกรณ์เสียงและทีมงาน
7. ค่าอุปกรณ์จัดแสงและพนักงาน
8. ค่าเครื่องแต่งกายนักแสดงและฝ่ายเสื้อผ้า
9. ค่าอุปกรณ์แต่งหน้า ทำผมและทีมช่าง
10. ค่าอุปกรณ์ประกอบฉากและฝ่ายศิลป์
11. ค่าสถานที่ถ่ายทำ
12. ค่าอาหารและเครื่องดื่ม
13. ค่าที่พัก ค่าพาหนะเดินทาง
14. ค่าตัดต่อ
15. ค่าลงเสียง ทำดนตรีประกอบ
16. ค่าเทป และอื่นๆ



ตัวอย่างรายละเอียดงบประมาณการผลิต


01 ค่าบริหารงานผลิต และพัฒนาบท (SCENARIO & DEVELOPMENT COST)
  1. ค่าเขียนบท (Script Writer)
  2. ค่าเขียนสตอรี่บอร์ด (Storyboard)
  3. ค่าสำเนาบท
  4. ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ค่าวัสดุสิ้นปลือง
  5. ค่าโทรศัพท์
  6. ค่าจัดหาสถานที่ถ่ายทำ (Location Scout Expenses)
  7. ค่าที่พัก
  8. ค่าพาหนะ ค่าน้ำมัน
  9. เบ็ดเตล็ด สำรองจ่าย

02 ค่าโปรดิวเซอร์ ค่าผู้กำกับ (PRODUCER/DIRECTOR)
  1. โปรดิวเซอร์ (Producer)
  2. ผู้กำกับโฆษณา (Director)
03 ค่าทีมงานผลิต ( PRODUCTION STAFF)
  1. ผู้จัดการกองถ่าย (Production Manager)
  2. ประสานงานกองถ่าย (Production Coordinator)
  3. ผู้ช่วยผู้กำกับ 1 (1st AD)
  4. ผู้ช่วยผู้กำกับ 2 (2nd AD)
  5. ผู้ช่วยผู้กำกับ 3 (2nd 2nd AD)
  6. ผู้ช่วยกองถ่ายทั่วไป (Production Assistant)
04 ค่าจ้างนักแสดง พิธีกร (TALENT/EXTRA)
  1. นักแสดงหลัก (Principal Player)
  2. ค่านักแสดงสมทบ (Supporting Player)
  3. ค่าExtra
  4. ค่าจัดหานักแสดง (Casting Expenses)
05 ค่ากล้องและทีม (CAMERA DEPT. )
  1. ค่าเช่ากล้อง
  2. ผู้กำกับภาพ (Director of Photography)
  3. ช่างภาพ (Camera Man)
  4. ผู้ช่วยกล้อง 1 (Follow Focus /1st AC)
  5. ผู้ช่วยกล้อง 2 (Video Man)
  6. เจ้าหน้าที่ DIT/ Loader
  7. สำรอง OT ช่างภาพ
  8. สำรอง OT ผู้ช่วยกล้อง 1
  9. สำรอง OT ผู้ช่วยกล้อง 2
  10. สำรอง OT เจ้าหน้าที่ Loader
  11. รถขนส่งกล้องและทีม ไม่รวมน้ำมัน
  12. ค่าน้ำมันรถขนส่งกล้อง

06 ค่าอุปกรณ์เสียงและทีม (SOUND DEPT.)
  1. ค่าเครื่องบันทึกเสียง (Sound Recording)
  2. ค่าเช่าไมค์บูม (Boom Mike)
  3. ช่างบันทึกเสียง (Sound Artist)
  4. พนักงานไมค์บูม (Boom Man/Sound Guy)
  5. รถขนส่งอุปกรณ์บันทึกเสียง ไม่รวมน้ำำมัน
  6. ค่าน้ำมันรถขนส่งอุปกรณ์บันทึกเสียง
07 ค่าอุปกรณ์จัดแสงและพนักงาน (LIGHTING & GRIP DEPT. )
  1. ค่าอุปกรณ์จัดแสง (Lighting & Grip Equipment Package)
  2. ช่างแสง (Gaffer)
  3. หัวหน้าทีมไฟ (Best Boy Lighting)
  4. ทีมงานช่างไฟ (Lighting Crew)
  5. พนักงานขับรถ (Driver - Electrician/Grip)
  6. พนักงาน (Driver - Genny Operator)
  7. รถบรรทุกอุปกรณ์กริ๊ป (Grip Truck - excl. gas)
  8. รถบรรทุกอุปกรณ์ไฟ (Electric Truck - excl. gas)
  9. ค่าเช่าเครื่องปั่นไฟ ไม่รวมน้ำมัน (Generator 40KVA - excl. gas)
  10. ค่าน้ำมันเครื่องปั่นไฟ
  11. ค่ารถลากจูงเครื่องปั่นไฟ ไม่รวมน้ำมัน
  12. สำรองค่าน้ำมัน
08 ค่าเครื่องแต่งกายนักแสดงและฝ่ายเสื้อผ้า (WARDROBE )
  1. ค่าเสื้อผ้าและเครืองแต่งกายนักแสดง
  2. ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายนักแสดง (Costume Stylist )
  3. ผู้ดูแลเครื่องแต่งกายนักแสดงชาย (Costumer)
  4. ผู้ดูแลเครื่องแต่งกายนักแสดงหญิง (Costumer)
  5. สำรองค่าเสื้อผ้าฉากใหญ่ (Big Set Costumes)
  6. รถขนส่งชุดเครื่องแต่งกาย ไม่รวมน้ำมัน (Costume Van - excl. gas)
  7. สำรองค่าน้ำมัน
09 ค่าอุปกรณ์แต่งหน้าทำผมและทีมช่าง (MAKEUP & HAIR)
  1. ค่าอุปกรณ์แต่งหน้า-ทำผม
  2. ค่าจ้างช่างแต่งหน้า (Makeup Artist)
  3. ค่าช่างทำผม (Hair Stylist)

10 ค่าอุปกรณ์ประกอบฉากและฝ่ายศิลป์ (ART DEPT. )
  1. ค่าอุปกรณ์ประกอบฉาก (Props Rental/Buying)
  2. ผู้กำกับศิลป์ (Art Director)
  3. Set Decorator
  4. Prop Man
  5. รถขนส่ง Props ไม่รวมน้ำมัน (Props Truck - excl. gas)
  6. สำรองค่าน้ำมัน
  7. สำรองค่าสร้างฉากใหญ่ (Big Set Construction)
  8. ค่ารถยนต์เข้าฉาก (Pictures Cars)
  9. หัวหน้าฝ่ายยานพาหนะ (Transportation Captain)
  10. ประสานงานทีมรถเข้าฉาก (Action Vehicle Coordinator)

11 ค่าสถานที่ถ่ายทำ (LOCATION)
  1. ผู้จัดการฝ่ายสถานที่ (Location Manager)
  2. ค่าเช่าสถานที่ (Location Rental)
  3. ค่าเช่าโรงถ่าย (Studio Hiring)
  4. ค่าสร้างฉาก (Set Construction)
  5. ค่าแรงคนงานสร้างฉาก
  6. ค่าแม่บ้าน ค่าห้องน้ำ
  7. ค่าแรงคนงานสร้างฉาก

12 ค่าอาหารและเครื่องดื่ม (CATERING)
  1. ค่าอาหารและเครื่องดื่ม
  2. ค่าของใช้และวัสดุสิ้นเปลือง
  3. ค่าพาหนะขนส่ง
  4. ค่าน้ำมัน

13 ค่าที่พัก ค่าพาหนะเดินทาง (TRAVEL & TRANSPORTATION)
  1. ค่าที่พักทีมงาน
  2. ค่าที่พักนักแสดง
  3. รถตู้ทีมงานและนักแสดง
  4. รถรับส่ง นักแสดงประกอบ
  5. ค่าพาหนะ ค่าน้ำมัน

14 ค่าตัดต่อ (VIDEO POST PRODUCTION)
  1. ค่าเช่าห้องตัดต่อ (Editing Suite)
  2. ค่า EDITOR
  3. DVD Master
  4. BetaCAM SP Master
  5. ค่าทำ CG & ANIMATION

15 ค่าลงเสียง ทำดนตรีประกอบ (SOUND POST PRODUCTION)
  1. ค่าห้องบันทึกเสียง ลงเสียงประกอบ
  2. ค่า SOUND DESIGNER
  3. ค่าผู้ประกาศ

16 ค่าเทป และอื่นๆ (VIDEO TAPE STOCK & ETC.)
  1. mini DV TAPE
  2. BetaCAM SP
  3. HARDDISK – REMOVABLE




บทบาทหน้าที่ของทีมผลิต

การทำงานในกองถ่ายก็เหมือนกับการทำงานในที่อื่นๆที่มีลักษณะ”การทำงานเป็นทีม”และมีการแบ่งหน้าที่กันให้ชัดเจนว่าใครต้องทำอะไร เพื่อให้ภารกิจลุ่ล่วงไปด้วยดี กองถ่ายแต่ละกองอาจมีจำนวนคนมากน้อยไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับงบประมาณและปริมาณเนื้องานที่มากน้อยแตกต่างกันไป ในกองถ่ายของหน่วยงานเล็กๆอาจมีคนทำงานแค่หนึ่งถึงสองคนเท่านั้น ซึ่งต้องทำงานแทนตำแหน่งอื่นๆไปด้วย

ทีมงานตำแหน่งสำคัญที่ทุกกองถ่ายจำเป็นต้องมี มีดังนี้

1. โปรดิวเซอร์ (Producer)
2. ผู้กำกับ (Director)
3. ผู้เขียนบท (Script Writer)
4. ช่างภาพ (Camera Operator)
5. ผู้ช่วยช่างภาพ (Assistant Camera Man)
6. ช่างแสง (Gaffer)
7. ช่างเสียง (Sound Recordist)
8. ผู้ช่วยผู้กำกับ (Assistant Director)
9. ประสานงานกองถ่าย (Production Coordinator)

โปรดิวเซอร์ (Producer)
ตำแหน่งโปรดิวเซอร์ มีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไปตามวงการนั้นๆ เช่น วงการภาพยนตร์และละครทีวี โปรดิวเซอร์จะทำหน้าที่ดูแลงานสร้าง และควบคุมงบประมาณการผลิต ขณะที่โปรดิวเซอร์รายการทีวีบางรายการต้องคิดรายการ วางแผนงานผลิต และออกไปกำกับรายการเอง อย่างไรก็ตาม บทบาทหลักของโปรดิวเซอร์ในทุกวงการคือ หัวหน้าทีมผลิต
ตำแหน่งโปรดิวเซอร์ อาจถูกเรียกแตกต่างกันไปอีกตามระดับชั้นในสายงานบริหาร เช่น
Executive Producer (เอ็กเซ็กคิทีฟ โปรดิวเซอร์)
ผู้อำนวยการสร้าง ตำแหน่งนี้ส่วนมากจะผู้บริหารงานสร้างระดับสูงและมักเป็นนายทุนหรือผู้หาทุน
Line Producer (ไลน์ โปรดิวเซอร์)
ในกรณีของสตูดิโอใหญ่ๆ ที่ต้องผลิตงานหลายชิ้น โปรดิวเซอร์ที่ถูกมอบหมายงานในแต่ละสายงานจะถูกเรียกว่า” ไลน์ โปรดิวเซอร์ “

ผู้เขียนบท (Script Writer)
หน้าที่ของผู้เขียนบท คือหาข้อมูลแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นบทที่เล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งในงานผลิตสารคดีหรืองานผลิตวีดีโอขนาดเล็ก โปรดิวเซอร์หรือผู้กำกับอาจรับหน้าที่เขียนบทด้วย

ผู้กำกับ (Director)
ผู้กำกับ มีหน้าที่ถ่ายทอดจินตนาการจากบทออกมาเป็นภาพและเสียงตามแบบฉบับของตนเอง และมีหน้าที่ควบคุมงานเกือบทุกอย่างตั้งแต่เริ่มคิดงานจนถึงการตัดต่อ
ในขั้นตอนการผลิต ผู้กำกับจะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆและเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าจะถ่ายทำอย่างไร เมื่อไร เช่นผู้กำกับจะวางมุมกล้องร่วมกับผู้กำกับภาพหรือช่างภาพแทนที่จะให้ช่างภาพกำหนดมุมกล้องเองตามอำเภอใจ อย่างไรก็ดี ผู้กำกับอาจจะไม่สามารถควบคุมทุกอย่างไว้ได้เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมี “เวลาและงบประมาณ”เป็นตัวกำหนด

ผู้ช่วยผู้กำกับ (Assistant Director)
คนส่วนมากจะเข้าใจว่า” ผู้ช่วยผู้กำกับ “คือผู้กำกับคนที่สอง แต่จริงๆแล้วหน้าที่หลักของผู้ช่วยผู้กำกับคือ การดำเนินงานถ่ายทำตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้กำกับ ซึ่งรวมถึงการช่วยกำกับการแสดงนักแสดงสมทบด้วย แต่ในกองถ่ายทำสารคดีหรือกองถ่ายขนาดเล็ก ตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับอาจไม่มีความจำเป็นนัก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับความยากง่ายของงานและวิธีการทำงานของผู้กำกับแต่คนด้วย

ผู้กำกับภาพ (Director of Photography)
ผู้กำกับภาพเป็นหัวหน้าทีมกล้องและทีมไฟ (แสง) มีหน้าที่รับผิดชอบภาพรวมและควบคุมงานถ่ายภาพทั้งหมด ในกองถ่ายขนาดเล็ก ช่างภาพอาจรับหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพไปด้วย

ช่างภาพ (Camera Man)
ช่างภาพหรือตากล้องหรือช่างกล้อง เป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งตำแหน่งหนึ่งที่ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ถ่ายภาพตามคำสั่งของผู้กำกับเท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญทั้งศาสตร์และศิลป์ของการถ่ายภาพเป็นอย่างดี เพราะการใช้กล้องวีดีโอนั้นเป็นเรื่องของเทคนิคพิเศษที่ช่างภาพต้องใช้งานจนคุ้นเคยและเข้าใจประสิทธิภาพของกล้องอย่างดียิ่ง ในขณะเดียวก็ต้องมีความเข้าใจหลักการวางมุมกล้อง การจัดองค์ประกอบภาพเพื่อให้สื่อสารได้ตรงกับความต้องการของผู้กำกับหรือตรงความหมายที่เขียนไว้ในบท

ผู้ช่วยช่างภาพ (Assistant Camera Man)
ผู้ช่วยช่างภาพ มีหน้าที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้ช่างภาพในเกือบทุกเรื่อง เช่น ประกอบกล้อง เปลี่ยนเลนส์ เปลี่ยนเทป จนถึงดูแลทำความสะอาดกล้อง ในกองถ่ายขนาดใหญ่ เช่น กองถ่ายภาพยนตร์ ผู้ช่วยช่างภาพอาจมีถึง 2-3 คน

ช่างเสียง (Sound Recordist)
ช่างเสียง มีหน้าที่บันทึกเสียงขณะถ่ายทำ ซึ่งต้องได้เสียงที่มีคุณภาพคมชัด เสียงรบกวนน้อย ช่างเสียงจึงต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องธรรมชาติของเสียงและเครื่องมือบันทึกเสียงเป็นอย่างดีเพราะต้องเลือกใช้ไมค์และอุปกรณ์บันทึกเสียงให้ตรงสถานการณ์ขณะถ่ายทำ
ในกองถ่ายขนาดเล็ก ช่างกล้องจะทำหน้าที่ดูแลเรื่องเสียงเอง แต่ถ้าต้องใช้ไมค์บูมหรือใช้ไมค์จำนวนมากและมีเครื่องมิกเซอร์เพิ่มขึ้นมา ก็จำเป็นต้องเพิ่มตำแหน่งช่างเสียงในกองถ่าย

ช่างแสง (Gaffer)
ช่างแสง หรือ แก๊ฟเฟ่อร์ คือ หัวหน้าทีมแสง มีหน้าที่ติดตั้งอุปกรณ์โคมไฟจัดแสงและดูแลเรื่องการใช้กระแสไฟฟ้าในกองถ่ายถ่ายทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วจะถูกจ้างเพื่อทำงานในกองถ่ายขนาดใหญ่ เช่น กองถ่ายภาพยนตร์ กองถ่ายละคร กองถ่ายโฆษณา โดยมีลูกทีมเรียกว่า ช่างไฟ (Electrician)
ในกองถ่ายสารคดี หรือรายการทีวี บางรายการอาจจำเป็นต้อง”ช่างแสง”เมื่อต้องการผู้รับผิดชอบเรื่องโคมไฟและการจัดแสงโดยเฉพาะ

ผู้ประสานงานการผลิต (Production Coordinator)
ในกองถ่ายทุกกองถ่ายต้องมีทีมบริหารจัดการเรื่องเอกสาร จดหมายติดต่องานต่างๆ ทำเรื่องเบิกจ่ายเงิน เก็บใบเสร็จรับเงิน ตลอดจนถึงติดต่อที่พัก เตรียมรถรับส่งทีมงาน งานประเภทนี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของ”ผู้จัดการกองถ่าย (Production Manager)” แต่ในกองถ่ายขนาดเล็ก จะมี”ผู้ประสานงานผลิต (Production Coordinator)” มารับหน้าที่นี้ ภายใต้การกำกับดูแลของโปรดิวเซอร์


การสำรวจพื้นที่ หาข้อมูล เพื่อวางแผนการถ่ายทำ

หลังจากที่งบประมาณการผลิตได้รับการอนุมัติ และรวบรวมทีมผลิตหลักได้ครบถ้วนแล้ว การลงพื้นที่เพื่อสำรวจหาข้อมูลเขียนบทเพิ่มเติมและตรวจตราพื้นที่ถ่ายทำเพื่อกำหนดจุดถ่ายทำก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการได้ไปดูสถานที่ล่วงหน้าจะช่วยให้เราวางแผนการทำงานได้หลายเรื่องก่อนที่จะยกโขยงขนทีมงานและอุปกรณ์มาโดยไม่รู้ว่าจะถ่ายทำตรงไหน กินข้าว เข้าห้องน้ำ จอดรถกันอย่างไร

ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่และจำเป็นต้องเดินทางไปสำรวจสถานที่ถ่ายทำนี้ คือผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ หรือตากล้อง และทีมบริหารจัดการกองถ่ายเช่น โปรดิวเซอร์ ผู้จัดการกองถ่าย ผู้ประสานงาน ผู้ช่วยผู้กำกับ


คิวถ่ายทำ (The Production Schedule)
คิวถ่ายทำ ก็คือตารางเวลากำหนดการดำเนินงานในแต่ละวัน ที่ต้องบอกทีมให้รู้ว่า วันนี้เราจะเริ่มถ่ายทำอะไรก่อนหลัง กำหนดการถ่ายนี้ช่วยให้แต่ละฝ่ายได้มีเวลาเตรียมตัว และยังช่วยให้ผู้กำกับประเมินเวลาการทำงานของตนเองได้ด้วยว่าจะสามารถถ่ายทำได้ครบถ้วนตามที่จินตนาการไว้ได้หรือไม่

หลักปฏิบัติในการวางคิวถ่ายทำ
1. วางลำดับคิวบุคคลหรือสถานที่ ซึ่งถ่ายทำยากที่สุดก่อน
2. ถ่ายฉากภายนอกก่อนภายใน เพราะหากฝนตกเรายังสามารถหลบฝนเข้าภายในอาคารและถ่ายทำฉากอื่นหรือแก้ไขบทเปลี่ยนฉากภายนอกมาถ่ายภายในแทนได้


ในกองถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีการถ่ายทำที่ซับซ้อนและมีทีมงานจำนวนมาก คิวถ่ายทำจะต้องให้รายละเอียดมากที่สุดและครบถ้วนสำหรับทีมงานทุกแผนก แต่ในกองถ่ายสารคดีหรืองานผลิตวีดีทัศน์ที่มีรายละเอียดน้อยและไม่ได้เขียนบทแบบภาพยนตร์ คิวถ่ายทำอาจทำแบบง่ายๆเพื่อสื่อสารภายในทีมงานและใช้เป็นใบนัดกองถ่ายได้ด้วย

ตัวอย่างกำหนดการถ่ายทำสารคดี

“สารคดี โรงเรียนนายอำเภอ”

โปรดิวเซอร์/ผู้กำกับ อัจฉริยะ จารุพันธ์
ประสานงานกองถ่าย ต่าย 088-123-4567
นัดกองถ่าย 0700 น.
สถานที่ถ่ายทำ โรงเรียนนายอำเถอ วิทยาลัยการปกครอง
คลอง 6 รังสิต-นครนายก รังสิต อ. ธัญบุรี ปทุมธานี 12110
โทรศัพท์ 0 2577 4913 - 4

ศุกร์ 19 ส.ค. 54
0800-0900 เก็บภาพ อาคารโรงเรียนนายอำเภอ, ป้ายชื่อ และอื่นๆ
0900-1200 สัมภาษณ์ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนนายอำเภอ
1200-1300 พักเที่ยง
1300-1500 ภาพบรรยากาศการเรียนในห้องเรียน
1500-1800 สัมภาษณ์ นักเรียนโรงเรียนนายอำเภอ 4-5 ท่านบริเวณสนามเทนนิส